ได้มีโอกาสไปสอบ AZ-900: Microsoft Azure Fundamentals มา เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ว่ามันคือการสอบอะไร? ต้องเตรียมตัวอย่างไร? แล้วต้องทำอะไรบ้าง?
AZ-900 คืออะไร? แล้วสอบทำไม?
AZ-900: Microsoft Azure Fundamentals เป็นข้อสอบที่จะทดสอบความรู้ของเราในเรื่องแนวคิดของคลาวด์ และพื้นฐานของตัว Microsoft Azure ซึ่งตามในเว็บไซต์ได้ระบุหัวข้อไว้ตามนี้คือ:
- อธิบายแนวคิดของคลาวด์
- อธิบายบริการหลักของ Azure
- อธิบายโซลูชันและเครื่องมือจัดการที่ Azure มีให้บริการ
- อธิบายฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยทั่วไป และของเครือข่ายใน Azure
- อธิบายฟีเจอร์ส่วน Identity, Governance, Privacy, และ Compliance
- อธิบายการจัดการค่าใช้จ่ายและ Service Level Agreements ของ Azure
จะเห็นได้ว่าทุกหัวข้อจะเป็นการ “อธิบาย” ทั้งหมด ตรงนี้หมายถึงว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้งานบริการนั้นเป็น แต่เพียงแค่เข้าใจในบริการนั้นก็พอ
หากผ่านก็ จะได้ Certificate กับ Badge ให้ไปโชว์ใน Portfolio, Resume หรือ LinkedIn ได้ ซึ่งเป็นตัวช่วยยืนยันได้ว่าเรามีความรู้และความเข้าใจในหัวขัอนี้เป็นอย่างดี
AZ-900 Certification Path บน Pluralsight
เตรียมตัวก่อน(สมัคร)สอบ
ก่อนจะสมัครสอบเราก็ต้องมั่นใจว่ามีความรู้ในเรื่องนั้นก่อน ซึ่งตัว AZ-900 เป็นทฤษฏีล้วน ๆ ทำให้เรียนรู้ได้ง่ายกว่าเพราะไม่ มีส่วนที่ต้องปฏิบัติ
คอร์สเรียน
ส่วนตัวใช้ Pluralsight ใน AZ-900 Certification Path เพราะว่ามีบัญชีอยู่แล้ว แต่สำหรับสายฟรีทาง Microsoft เองก็มีคอร์สเรียนเป็นคลิปวิดีโอให้ดูฟรี ซึ่งก็แยกเป็นหัวข้อตามที่ออกสอบเลย
คอร์สเรียนฟรีจาก Microsoft
ด้านเนื้อหาส่วนใหญ่ก็จะเป็นการอธิบายด้านทฤษฏีต่าง ๆ และอาจมีการสลับไปเดโมให้ดูบน Azure ของจริงบ้างบางตอน โดยคอร์สของทั้งสองเจ้ามีความยาวอยู่ที่ประมาณ 10 ชั่วโมง
ฝึกทำข้อสอบ
เพื่อที่จะเพิ่มความมั่นใจว่าเรียนมาตรงกับที่จะออกสอบ ก็ต้องมาลองทำข้อสอบดู นอกจากเสริมสร้างความมั่นใจแล้วยังช่วยให้เราคุ้นเคยกับรูปแบบของตัวข้อสอบอีกด้วย ซึ่งก็ได้ใช้บริการสองตัวนี้
- ExamTopics — ฟรี! แถมยังมีข้อสอบให้ลองทำตั้งเกือน 250 ข้อ
- Whizlabs — ไม่ฟรี แต่มีระบบจำลองเหมือนสอบจริง ช่วยนับคะแนนสรุปผลการสอบออกมาดูได้
หน้าแสดงผลการทดลองสอบของ Whizlabs
ตัว ExamTopics จะเป็นแค่ข้อสอบพร้อมเฉลยเท่านั้น ต้องนับคะแนนเอง แต่เท่าที่ลองทำดูมีหลายข้อตรงกับที่ออกสอบจริงอยู่บ้าง แต่เว็บนี้สายฟรีอาจจะหงุดหงิดหน่อย เพราะจะมี Captcha มาคั่นทุก ๆ 5-10 ข้อ
ส่วน Whizlabs จะจำลองเหมือนการสอบเลย มีการนับคะแนน พร้อมสรุปผลว่าในแต่ละหัวข้อทำได้ดีขนาดไหน แต่ตัวนี้รูปแบบข้อสอบไม่ค่อยหลากหลาย จะมีแค่แบบตอบ Yes/No กับเลือกตัวเลือก A/B/C/D เท่านั้น ราคาอยู่ที่ $15.95 แต่แนะนำให้รอลดราคาจะดีกว่า (ตอนซื้อตัวนี้ผมได้ลด 60% มา) เพราะนอกจากระบบนับคะแนนแล้ว ในด้านเนื้อหา ExamTopics จะทำได้ดีกว่า
สมัครสอบ
มีความรู้พร้อมกับความมั่นใจแล้ว ก็มาสมัครสอบกัน เข้าไปที่หน้าเว็บ AZ-900 บน Microsoft เพื่อดูช่องทางการสมัครได้เลย
ค่าธรรมเนียมการสอบ AZ-900 ในไทยอยู่ที่ $55 (ประมาณ 1,800 บาท) แต่ลองตรวจสอบทางเลือกอื่นดูก่อนเผื่อจะได้ในราคาที่ถูกกว่านี้
- หากเป็นผู้ที่หางา นอยู่ หรือเป็นนักเรียน/นักศึกษา — สมัครได้ในราคา $15 (ประมาณ 500 บาท) เป็นโปรโมชันถึงสิ้นปีนี้ (2021)
- ส่วนลดจากองค์กร/สถานศึกษา — ให้ลองตรวจสอบดูก่อนว่าบริษัทที่ทำงานอยู่ หรือมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่มีส่วนลดให้หรือไม่ ซึ่งในบางกรณีก็จะสามารถสอบฟรีได้เลย
ผมได้เลือกสอบกับ Pearson VUE ดังนั้นเนื้อหาที่เกี่ยวกับขั้นตอนการสอบต่อไปจากนี้อาจจะไม่ตรงหากเลือกสอบกับผู้ให้บริการอื่น ซึ่งข้อมูลตรงนี้มีการเปลี่ยนแปล งได้ แนะนำให้ตรวจสอบกับผู้ให้บริการสอบก่อนเข้าสอบโดยตรง
เลือกเวลาสอบ
เวลาเข้าสอบที่มีให้เลือกตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ตรงกับเวลาว่างของเรา เลือกที่เราสะดวกได้เลย (+เผื่อเวลาไว้ก่อนเข้าสอบสัก 15-30 นาที)
เวลามีให้เลือกตลอด 24 ชั่วโมง จะสอบเที่ยงวันหรือเที่ยงคืนเลือกได้หมด
เมื่อเลือกเวลาสอบได้ แล้วก็ดำเนินการชำระเงิน รอรับอีเมลยืนยัน เท่านี้ก็พร้อมเข้าสอบตามเวลาที่นัดไว้แล้ว
เตรียมตัวก่อน(เข้า)สอบ
เนื่องจากเป็นการสอบออนไลน์ นอกจากเตรียมบัตรประชาชนแล้วก็ต้องเตรียมอุปกรณ์และสถานที่ด้วย
- อุปกรณ์ — การสอบจะทำผ่าน OnVUE ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์สำหรับสอบโดยเฉพาะ ตัวคอมพิวเตอร์เราขอแค่มีลำโพง, ไมค์ และกล้องก็พอ ซึ่งตัว OnVUE จะมีตัวช่วยตรวจสอบความพร้อมของเครื่องเราให้ ไม่ต้องกังวลว่าถึงวันสอบแล้วจะใช้ไม่ได้
- สถานที่ — ต้องเป็นห้องที่มีความเป็นส่วนตัว ไม่มีอุปกรณ์อื่นอยู่รอบ ๆ และที่สำคัญคือห้ามผู้อื่นเข้ามาในห้องขณะสอบเป็นอันขาด
เข้าสอบ
ให้เข้ามาเตรียมตัวก่อนเวลาที่นัดไว้สัก 15-30 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบตัวตน, อุปกรณ์ และสถานที่ก่อนเข้าสอบ โดยขั้นตอนไม่มีอะไรมากแค่ถ่ายรูปหน้าตัวเอง, ถ่ายบัตรประชาชน, ถ่ายสถานที่สอบ จากนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาเพื่อยืนยีนผ่านวิดีโออีกครั้ง
เมื่อถึงเวลาแล้วก็จะมีปุ่มให้กดทำข้อสอบ อ่านข้อตกลงอะไรนิดหน่อย ก็จะพาไปที่ข้อสอบเลยรูปแบบที่พบเป็นเหมือนที่เจอใน ExamTopics เกือบทั้งหมด สามารถ Marked for Review สำหรับข้อที่ไม่แน่ใจ หรือ Marked for Comment สำหรับข้อที่อยากส่ง Feedback ไปหา Microsoft ได้
ตัวอย่างผลสอบ AZ-900 — ที่มา: Pluralsight
ดูผลสอบ
เมื่อสอบเสร็จจะได้รับผลสอบเลยโดยต้องทำได้อย่างน้อย 70% หรือ 700/1000 คะแนนถึงจะผ่าน และจะมีการสรุปให้ว่าทำคะแนนได้ดีในหัวข้อใดบ้าง (แต่ไม่มีเฉลย) หลังจากนั้นก็ออกจากระบบสอบได้เลย
จากนั้นไม่นานก็ตัว Certification และ Badge ก็จะมาปรากฏใน Certification Dashboard ให้เราบันทึกเก็บไว้ ได้ โดยตัวนี้เป็น Certificate แบบ Fundamental ดังนั้นจึงไม่มีวันหมดอายุ ใส่ติด Resume เท่ ๆ ได้ตลอดชีวิต
ใส่ไว้โชว์เท่ ๆ ใน LinkedIn
ระดับต่าง ๆ ของ Certificate — ที่มา: acloudguru.com
ก้าวต่อไป
AZ-900 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เป้าหมายต่อไปก็จะเป็น Certificate ที่ระดับสูงกว่า Fundamentals ก็คือ Associate และ Expert ที่จะเจาะลึกลงไปในตัว Azure อีก ซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ โดยตัวที่น่าสนใจจะเป็น:
- AZ-204: Developing Solutions for Microsoft Azure — การออกแบบ, พัฒนา, ทดสอยและดูแลระบบคลาวด์บน Azure
- DP-900: Microsoft Azure Data Fundamentals — แนวคิดพื้นฐานของข้อมูล และการจัดการข้อมูลด้วยบริการของ Azure
- AZ-220: Microsoft Azure IoT Developer — การพัฒนาและใช้งานอุปกรณ์ IoT เพื่อนำมาใช้งานร่วมกับ Azure
เพิ่มเติม — สำหรับผู้ที่มาจาก AWS
ส่วนตัวผมเคยมีประสบการณ์กับ AWS มาก่อน ทำให้คุ้นเคยกับเนื้อหาจำพวกแนวคิดของคลาวด์ และพวกบริการพื้นฐานที่ค่อนข้างจะคล้ายกันมาก่อน ซึ่งส่ว นที่คล้ายกันมากต่างกันแค่ชื่อที่พบจะเป็นจำพวกนี้:
- Security Group (SG) เรียกว่า Network Security Group (NSG) โดยสามารถเชื่อมได้ทั้งกับ Subnet และ Network Interface
- Route Table เรียกว่า User Defined Routes (UDR)
- S3 จะแยกเป็น Standard, IA, Glacier, ฯลฯ ส่วน Azure Blob Storage จะแยกเป็น Hot, Cool และ Archive
- DynamoDB ของ Azure จะเป็น CosmosDB (NoSQL)
- CloudFormation จะเป็น Azure Resource Management (ARM)
ซึ่งถ้าเข้าใจบริการบน AWS อยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าบน Azure เรียกว่าอะไรก็จะสามารถเข้าใจแนวคิดของบริการนั้นได้ไม่ยาก