เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ใช้ Colemak เป็นเลย์เอาต์หลัก มาดูกันว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง? ยังตอบโจทย์ในสิ่งที่เคยหวังไว้ไหม?
เมื่อตอนต้นปีได้เขียนเกี่ยวกับเลย์เอาต์ Colemak ไป ผลในรอบนั้นก็คือพิมพ์เร็วขึ้นเล็กน้อย แต่ที่เห็นได้ชัดสุดเลยก็คือสบายมือมากขึ้น เพราะต้องเปลี่ยนไปพิมพ์สัมผัส ต่างจากเดิมที่กดตามที่คุ้นชินใน QWERTY ซึ่งถ้าใครกำลังคิดจะเปลี่ยนไปใช้ Colemak แนะนำให้กลับไปอ่านบทความที่แล้วก่อน ที่เป็นการแนะนำการฝึกใช้เบื้องต้น ก่อนมาอ่านภาคต่อที่บทความนี้ได้: Colemak ช่วยให้พิมพ์เร็วขึ้นจริงไหม?
เปลี่ยนเลย์เอาต์
หลังจากเขียนเรื่อง Colemak ไปได้ไม่นานก็ตัดสินใจเปลี่ยนเลย์เอาต์ แต่ไม่ได้ไปไหนไกล เปลี่ยนไปใช้ Colemak-DH นั่นเอง
เลย์เอาต์นี้จะมีการทำ “Angle Mod” หรือก็คือขยับแถวล่างสุดเฉพาะปุ่มที่พิมพ์ด้วยมือซ้าย (พวก Z, X, C, …) ไปทางซ้าย 1 ตำแหน่ง ผลก็คือการขยับนิ้วทั้ง 2 มือจะสมมาตรกันที่จะช่วยในเรื่อง Ergonomics ทำให้สบายมือขึ้น
Angle Mod บนคีย์บอร์ด ISO (รูปภาพ: colemakmods.github.io)
ว่าแต่เลื่อนไปทางซ้ายได้ยังไง? ทางซ้ายของ Z ก็คือปุ่ม Shift ไม่ใช่หรือ? ตรงนี้ก็เป็นเพราะว่าคีย์บอร์ดที่เราใช้อยู่มันเป็นแบบ ANSI ซึ่งพบได้ในคีย์บอร์ดที่ใช้กันในสหรัฐฯ ในไทย และก็ประเทศเพื่อนบ้านของเราอยู่หลายประเทศ
แต่สำหรับประเทศแถบยุโรปจะใช้ ISO เป็นส่วนใหญ่ จุดเด่นที่เห็นได้ชัดเลยก็คือปุ่ม Enter จะเป็นตัว L กลัวหัวที่กินพื้นที่ไปถึงสองแถว และก็มีปุ่มเพิ่มมาทางซ้ายตัว Z อีก 1 ปุ่ม กินที่ปุ่ม Shift ฝั่งซ้ายไปครึ่งหนึ่ง
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง ANSI และ ISO (รูปภาพ: Wikimedia Commons)
แต่ถ้าบ้านเราใช้ ANSI แล้วจะไปใช้ Angle Mod ได้ยังไง? คำตอบก็คือพอเลื่อนมาทางซ้าย ตรงกลางก็จะมีปุ่มว่างเพิ่มอ ีกหนึ่งเป็นที่ให้กับปุ่ม Z ของเรา
Colemak-DH บนคีย์บอร์ด ANSI (รูปภาพ: colemakmods.github.io)
Curl Technique
นอกจาก Angle Mod แล้ว Colemak-DH ยังมีการเปลี่ยนตำแหน่งปุ่มเพิ่มเติม จุดหลักก็คือปุ่ม DH ที่อยู่ตรงกลางที่บางคนอาจรู้สึกว่ามันไกลไป ให้ลงมาอยู่อีกแถวหนึ่ง
เลย์เอาต์ Colemak (รูปภาพ: colemak.com)
ตำแหน่งปุ่ม DH ที่ถูกย้ายลงไป (รูปภาพ: colemakmods.github.io)
เมื่อถูกย้ายไปแล้วจะมีเลย์เอาต์ใหม่เป็นแบบนี้ นอกจาก Z, X, และ C ที่เลื่อนไปทางซ้ายแล้ว จะมีปุ่ม D, H, B, G และ M ที่เปลี่ยนตำแหน่งไป แต่ปุ่มเหล่านั้นก็ยังใช้นิ้วเดิมในการกด ทำให้ปรับตัวได้ไม่ยากนั ก
เลย์เอาต์ Colemak-DH (รูปภาพ: colemakmods.github.io)
คีย์ลัดที่เปลี่ยนไป
ด้วยการที่ปุ่ม Z, X และ C เลื่อนไปทั้งแถบ ทำให้คีย์ลัดก็ถูกเลื่อนไปด้วย ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะเป็นข้อเสียจุดแรกของเลย์เอาต์นี้ แต่มีปุ่มหนึ่งที่กลับมาที่เดิมเหมือนใน QWERTY ก็คือปุ่ม G ซึ่งใช้แรก ๆ ก็คงมีหงุดหงิดเล็กน้อยเ วลาจะ Undo, Copy หรือ Paste อะไรพวกนี้
ความเร็วเป็นอย่างไรบ้าง?
ใช้นานขึ้นก็ต้องคล่องขึ้นเป็นตามปกติ เมื่อมาดูสถิติแยกตามประเภท สูงสุดตอนนี้อยู่ที่ 159 WPM (words per minute/คำต่อนาที) แต่ว่าเป็นของโหมด “10 words” ที่พิมพ์ไม่กี่วิก็เสร็จแล้ว
ดั้งนั้นไปดูที่โหมด “60 seconds” จะดีกว่าเพราะถ้าจะวัดเป็น WPM ก็ควรพิมพ์อย่างน้อยสักนาทีก็ยังดี ซึ่งก็อยู่ที่ 106 WPM
ความเร็วสูงสุด (ในหน่วย WPM) ของแต่ละประเภทใน Monkeytype
มาดูต่อรวม ๆ กันในแบบไม่แยกโหมด ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 154.84 WPM จากโหมด “10 words” เหมือนเดิม (แต่ก็งงว่าทำไมเลขมันต่ำกว่า) ส่วนค่าเฉลี่ยของการพิมพ์ทั้งหมดก็อยู่ที่ 94 WPM ซึ่งก็เป็นการเฉลี่ยจากการทดสอบทั้งหมด 1,000 ครั้งตั้งแต่เริ่มใช้งานในเดือนพฤษภาคม 2021 ซึ่งก็นำความเร็วตอนฝึกพิมพ์แรก ๆ ที่อยู่แถว ๆ 20-30 WPM มาเฉลี่ยรวมไปด้วย
ภาพรวมสถิติความเร็ว
แต่ความเร็วเฉลี่ยจาก 70 WPM ตามในบทความที่แล้วกลายเป็น 94 WPM ก็ถือว่าน่าพึงพอใจอยู่ ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนมาใช้ Colemak-DH ไหม หรือแค่คล่องขึ้นเพราะความชินกันแน่ แต่ก็อาจจะเป็นผลมาจากทั้งสองก็เป็นได้
ตอนนี้ QWERTY เป็นไงบ้าง?
หลังจากตอนแรกเลิกใช้ QWERTY ไปเกือบถาวร ทำให้เวลากลับมาใช้ก็ไม่ต่างจากตอนเริ่มใช้ Colemak แรก ๆ ที่ความเร็วจะอยู่ที่ 20-30 WPM แต่ก็เพราะเชื่อบทความหนึ่งที่ว่าเราใช้เทคนิคการพิมพ์ QWERTY และ Colemak ไม่เหมือนกัน ทำให้สมองเราสามารถสลับเปลี่ยนโหมดการพิมพ์ได้ระหว่างทั้งสอง
ซึ่งวิธีการที่ลอง (บังคับตัวเอง) ดูก็คือเครื่องทำงานก็ใช้ Colemak-DH ตามปกติ ส่วนเครื่องเล่นเกมก็ใช้ QWERTY ไป และมีอีกเครื่องเป็นของบริษัทที่ไว้ใช้รับ/ส่งเมลอย่างเดียวก็ตั้งเป็น QWERTY เช่นกัน
ผลก็คือได้ใช้ทั้งสองเลย์เอาต์ผสมกันในแต่ละวัน ก็ได้ผลมาตามที่คาดไว้คือสลับไปมาระหว่าง QWERTY และ Colemak-DH ได้โดยความเร็ว QWERTY กลับมาอยู่ในระดับที่พอใช้ได้ มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 75 WPM แต่ก็ยังไม่เคยลองวัดอย่างจริง ๆ จัง ๆ ซึ่งก็คาดว่าค่าเฉลี่ยคงต่ำกว่านั้น
แต่ตอนนี้ก็ยังพิมพ์ QWERTY แบบไม่มอง 100% ไม่ได้อยู่ดี ต้องเหลือบไปมองบางเป็นระยะ แต่ก็ดีกว่าแต่ก่อนพอสมควร
Colemak-DH Matrix กับคีย์บอร์ดรูปร่างแปลกตา
คีย์บอร์ด Planck พร้อมคีย์แคป MT3 (รูปภาพ: redd.it/m2972c)
ช่วงที่เริ่มเปลี่ยนมาใช้ Colemak-DH ก็ยังใช้เจ้า Keychron K2v1 มา 2 ปีกว่าแล้ว ก็เริ่มอยากจะเปลี่ยนคีย์บอร์ดเหมือนกัน ซึ่งตอนจะติดตั้ง Colemak-DH นอกจากแบบ ANSI, ISO แล้วยังมีแบบ Matrix ให้เลือกด้วยก็เลยสงสัยว่ามันคืออะไร
ไปค้นดูมันก็คือคีย์บอร์ดที่เรียงกันเป็น Grid หรืออีกชื่อคือ Ortholinear ที่แถวทั้งแนวตั้งและนอนตรงกันหมด ต่างจากแบบปกติที่เราใช้คือ Row Staggered ที่แถวแนวนอนจะไม่ตรงกัน ข้อดีของรู ปแบบนี้คือจะช่วยในเรื่อง Ergonomics ที่เวลาเราจะกดปุ่มที่อยู่อีกแถวก็แค่ขยับนิ้วขึ้น/ลงเท่านั้น ต่างจากปกติที่ขึ้น/ลงแล้วยังต้องเอียงซ้าย/ขวาเล็กน้อยในการกดแต่ละปุ่ม
เลย์เอาต์ Colemak-DH Matrix (รูปภาพ: colemakmods.github.io)
เลยได้จัด ID75 มาเป็น Ortholinear ตัวแรก พร้อมกับเปลี่ยนไปใช้ Colemak-DH Matrix ด้วยกัน แต่พอเข้าวงการคัสตอมคีย์บอร์ดแล้วก็คงไม่มีคำว่าตัวจบ จึงไปต่อที่ Sofle v1 และสุดท้ายปัจจุบันมาลงที่ Corne เป็นที่เรียบร้อย
คีย์บอร์ด Corne (รูปภาพ: IMK Corne)
คีย์บอร์ดหน้าตาประหลาดแบบนี้ช่วยเรื่อง Ergonomics เข้ามาอีกขั้นคือสองมือนั้นแยกออกจากกัน อยากวางตรงไหนก็ได้ตามที่สะดวก และไม่ได้เป็น Ortholinear แล้ว แต่ว่าเป็น Column Staggered แทนก็คือแถวแนวตั้งไม่ตรงกันแทน ซึ่งก็เป็นข้อดีเพราะแต่นิ้วไม่ได้ยาวเท่ากัน ทำให้การวางนิ้วเป็นมิตรต่อมือของเรามากขึ้น
แต่ถ้ามาต่อที่เรื่องคีย์บอร์ดท่าทางจะยาว ดังนั้นเรื่องของก ารเดินทางจากคีย์บอร์ดเกือบ 90 ปุ่ม มาเหลือแค่เพียง 42 ปุ่ม เป็นไปได้อย่างไร ปุ่มหายไปกว่าครึ่งแบบนี้มันใช้ได้หรือ? มาติดตามได้ในบทความต่อไปได้ในเร็ว ๆ นี้